ธนบดี กางบุญเรือง | Thanabordee Kangbunreung
ขนาด:100×160 ซม.
เทคนิค: สื่อผสม ภาพพิมพ์บนกระดาษและเสียง
ปีผลิต:2020
Size: 100×160 cm.
Technic: Mixed media (print on paper and audio)
Year: 2020
concept
ในยุคแอนโธรโพซีน ยุคที่Homo sapienssapiens วิวัฒนาการเผ่าพันธุ์จนสามารถควบคุมความหลากหลายทางสายพันธุ์ได้จนเกือบเบ็ดเสร็จ กระทั่งมนุษย์บางกลุ่มต้องการเข้ามาจัดการความหลากหลายของทรัพยากรที่เป็นตัวมนุษย์เอง ผ่านการลดรูปลงมาเป็นข้อมูลที่จัดการได้ ว่าแล้วก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยุคโพสแอนโธรโพซีนครับ
Having survived and evolved into Anthropocene, we, Homo sapiens sapienshavetaken control over species diversity far greater magnitudes than all of nature combined. All of us, Homo sapiens sapiens included, have been reduced and converted into data—so easy to play with! Welcome to post-Anthropocene!
“LadyBrid” sound Experimental
“มนุษย์” เป็นเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า Homo sapienssapiens กำเนิดขึ้นมาจากลำดับวิวัฒนาการผ่านการกลายพันธุ์ผ่านกาลเวลา
เข้าสู่ยุคแอนโธรโพซีนที่มนุษย์มีบทบาทครอบครองโลกท่ามกลางความหลากหลายของสปีชีส์อื่น ขณะเดียวกันมนุษย์ยังสร้างกรอบความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์ ความเชื่อ ศาสนา หรือแม้กระทั่งชนชั้นในสปีชีส์เดียวกันเอง
ด้วยเหตุนี้ งานชิ้นนี้จึงอยากตีความมนุษย์ในมุมมอง Genetics ว่า มนุษย์ถูกควบคุมก่อสร้างตัวตนจากDNA ที่เป็นเพียงลำดับเบสสายยาวในเซลล์ จึงตีความต่อได้ว่าในแต่ละลำดับเบสเมื่อเรียงต่อกัน มันคล้ายคลึงกับ code ที่สามารถแปลงใช้เป็นข้อมูลได้ เจ้าของผลงานจึงนำความคิดนี้มาสร้างผลงาน โดยเล่นกับการลดทอนความเป็นมนุษย์ ที่ถูกลดทอนจากลำดับ DNA มาเป็นข้อมูล หรือ Data
กระบวนการนำข้อมูลมาใช้งาน เริ่มจากการมองหาตำแหน่งยีนที่เป็น conserved sequence(ตำแหน่งยีนที่มีลำดับเบสคล้ายคลึงกันในแต่ละสปีชีส์ มักถูกนำมาใช้ในการศึกษาลำดับวิวัฒนาการ) ในหลายๆ ตำแหน่งมีตำแหน่งยีน “Homeobox” เป็นยีนที่กำหนดการสร้างชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายสิ่งมีชีวิต จึงอาจเปรียบได้ว่ายีนนี้เป็นส่วนสำคัญในการกำเนิดของมนุษย์ เจ้าของผลงานเลือกลำดับ DNA ที่มีชื่อว่า “Lady bird (LBX1)” เป็นยีนที่ถูกนำเสนอในงานวิชาการว่าเป็นยีนที่สำคัญในการกำหนดsubpopulation
เมื่อได้ข้อมูลDNAมาแล้วกระบวนการถัดมา คือการนำข้อมูลเหล่านี้มานำเสนอด้วยการแปลงออกมาเป็นเสียงดนตรีด้วยคอร์ดC major เรียงลำดับออกมาเป็นเมโลดี้ ซึ่งกระบวนการมาจากการแปลงดีเอ็นเอเป็นกรดอะมิโนเพื่อใช้ในการสร้างชิ้นส่วนร่างกาย และข้อมูลลำดับเบสถูกแปลงมาเป็นภาพสีที่แสดงแทนเบส A T C G ซึ่งนำมาจัดเรียงในรูปแบบกระดาษเขียนโน็ตดนตรี
โดยงานทั้งหมดนี้พยายามสื่อถึงประเด็นที่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ผู้พยายามครอบครองและจัดการทรัพยากรทุกอย่าง ก็อาจหลีกหนีไม่พ้นจากการถูกจัดการและควบคุม มนุษย์จึงถูกลดทอนลงมาเป็นทรัพยากรข้อมูลเพื่อที่จะสามารถจัดการควบคุมให้ได้นำมาใช้ประโยชน์สูงสุด อาจเรียกยุคนี้ได้ว่าเป็นยุคโพสแอนโธรโพซีน
Humans or Homo sapiens sapiens, evolved through generations and survived
into the Anthropocene where humans started to take over the world and
species diversity. They have also created separations within their ownspecies in the name of race, religion, belief and class.This work views humans in their genetics perspectives. Human cells are builtand constructed its identity from DNA, comprises of the four types of basescalled ACGT. In a way, it’s a series of codes that could be transferred intodata. Inspired by this concept, the creator has chosen to interpret humanbeings on a micro level—DNA into data.The data used is genes in conserved sequence called “Homeobox”, a geneplaying an important role in creating organs. Another one is a DNA sequencecalled “Lady Bird (LBX1)” which is the one that determines humansubpopulation.
These data then are converted into music with C major chords into a melody,the same way DNA is converted into amino acid to create parts of the humanbody. The chords then are transferred into colored cards instead of A T C Gon paper. The process in composing this piece represents the repercussionsof humans who try to take control of everything, much like humanity walkinginto post-Anthropocene epoch where they are unable to escape from being
controlled. Human species are reduced to, controlled and converted into datafor further usage and management.
เบื้องหลังกระบวนการทำงาน
บันทึกโดย : ธนบดี กางบุญเรือง
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคที่นิยามว่า“แอนโทรโพซีน” ก่อนหน้านั้นมนุษย์เริ่มวิวัฒนาการแยกสายกลายพันธุ์จากเหล่าโฮมินิดส์กำเนิดเป็นเผ่าพันธ์ุเรียกรวมๆสกุลของมนุษย์“โฮโม” สิ่งที่เหล่าโฮโมเริ่มกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับการเอาตัวรอดและปรับตัวเข้ากับธรรมชาติในยุคบรรพกาลโฮโมหลายเผ่าพันธุ์ก็ไม่สามารถปรับตัวดำรงอยู่ได้จึงผลัดเปลี่ยนโฮโมเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาทดแทนจนในที่สุดโฮโมเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่สามารถอยู่รอดได้ถือกำเนิดขึ้นราวๆ70,000 ปีที่แล้วเผ่าพันธุ์ของมนุษที่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันเรียกตัวเองว่า“เซเปียนส์”
ในระหว่างยุคที่นิยามว่า“แอนโทรโพซีน” โลกผ่านการยึดครองจากสิ่งมีชีวิตหลายหลายเผ่าพันธุ์และหนึ่งในนั้นก็คือเซเปียนส์เหล่าเซเปียนส์เริ่มรวมตัวสร้างกลุ่มก้อนในถ้ำที่มืดมิดและหนาวเหน็บมนุษย์เริ่มดำเนินชีวิตไปตามการเดินทางของแสงอาทิตย์จนกระทั่งพวกเขาค้นพบหนทางสร้างแสงสว่างและความอบอุ่นด้วยเปลวไฟเหตุการณ์นี้เคยถูกขีดเขียนไว้ด้วยสีบนผนังถ้ำหินปูนหลายแห่งบนโลกถ้านับจากจุดเริ่มต้นของเปลวไฟมนุษย์สร้างวัฒนธรรมและองค์ความรู้ที่สามารถถ่ายทอดและส่งต่อไปแต่ละเจเนอเรชั่นนอกจากนั้นมนุษย์พยายามหาคำตอบของธรรมชาติจนเกิดคำถามว่าสปีชีส์ที่อยู่รอดและกำลังเข้าครอบครองทรัพยากรบนโลกมันมาจากไหนกันว่ะ
ชาร์ลดาร์วินนำเสนอทฤษฏีที่ว่าด้วยกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติในหนังสือThe Origin of Species ว่าด้วยเรื่องของการกำเนิดของสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันตัวอย่างที่เป็นข้อถกเถียงหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบฟอสซิลของยีราฟคอสั้นซึ่งต่างจากยีราฟในปัจจุบันสิ่งที่ดาร์วินอธิบายตามกลไกธรรมชาติอาจเป็นไปได้ว่าในอดีตมียีราฟทั้งคอสั้นและคอยาวแต่ด้วยสภาวะของธรรมชาติที่เหมาะสมกับยีราฟคอยาวมากกว่าจึงเป็นไปได้ว่ายีราฟคอสั้นไม่เหมาะสมสภาวะนี้ธรรมชาติเลยไม่คัดเลือกยีราฟคอสั้นไว้จนมีเพียงยีราฟคอยาวมาถึงปัจจุบันหากเรามองกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติในปัจจุบันมนุษย์สามารถปรับตัวต้านทานธรรมชาติมาโดยตลอดแต่มนุษย์กลับสร้างกลไกใหม่ขึ้นมามากมายเช่นชนชั้นชาติพันธุ์ศาสนาซึ่งเป็นกลไกแบบใหม่ในการคัดเลือกโดยโครงสร้างทางสังคมจากมนุษย์ด้วยกันเอง
การตอบคำถามที่ว่ามนุษย์มาจากไหนเหมือนจะเป็นคำถามที่ถูกถามมาตลอดการเกิดขึ้นของอารยธรรมมนุษย์มีการอธิบายมนุษย์ในหลากหลายมุมมองหนึ่งในนั้นเป็นการอธิบายในทางชีววิทยาว่าด้วยเรื่องการกลายพันธุ์ของสปีชีส์เซเปียนส์หากเราว่าง่ายๆคือมนุษย์วิวัฒนาการกลายพันธุ์มาจากลิงมีทฤษฏีทางด้านวิวัฒนาการของการเกิดสปีชีส์ใหม่ขึ้นมาจากการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอเมื่อดีเอ็นเอเกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลใหม่สิ่งมีชีวิตเกิดลักษณะใหม่ขึ้นในประชากรหากลักษณะใหม่ที่เกิดขึ้นมีความสามารถในการอยู่รอดได้ดีกว่าแบบเดิมสิ่งมีชีวิตใหม่ก็มักจะปรับตัวได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตเดิมที่ไม่สามารถปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานของการเกิดสปีชีส์ใหม่เกิดจากการที่กลุ่มประชากรถูกแยกออกจากกันส่งผลให้กลุ่มประชากรที่ถูกแยกออกมายังสิ่งแวดล้อมใหม่ต้องพยายามปรับตัวให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้จนเกิดการแบ่งแยกประชากร2 กลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยจนเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ขึ้นมาอีกทั้งสองข้อสันนิษฐานเป็นมุมมองด้านพันธุศาสตร์ประชากรนำข้อมูลมาอธิบายการกำเนิดของเซเปียนส์จากประชากรลิงสู่ประชากรมนุษย์
โลกสมมติหลังยุคที่นิยามว่า“แอนโทรโพซีน” มันเป็นยุคของโลกที่มนุษย์บางกลุ่มสามารถแยกตัวเองขึ้นมาครอบครองมนุษย์อีกกลุ่มที่ถูกลดทอนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์ในโครงสร้างของสังคมนั้นผมจึงขอยกตัวอย่างเรื่องสมมติของเหตุการณ์ที่นำไปสู่ยุคนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า“เฮนลา” เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาบนโลกที่ประชากรมนุษย์เรียกร้องความเท่าเทียมจากระบอบเผด็จการประชาธิปไตยเนื่องจากเป็นชนชั้นกลางในระบอบนั้นจึงไม่เดือดร้อนที่จะกล่าวคำว่า“ฉันเป็นกลางทางการเมือง”จนกระทั่งเกิดสิ่งที่ผิดแปลกบางอย่างขึ้นในร่างกายเธอตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งระยะแรกเธอรู้สึกเศร้าและสิ้นหวังในการมีชีวิตแต่ผ่านมาจิตใจเธอก็ดีขึ้นและเริ่มเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งหมอประจำที่ดูแลเคสของเธอได้ตัดเอาชิ้นเซลล์มะเร็งของเธอมาศึกษาหมอคนนั้นตื่นเต้นและพบว่าเซลล์มะเร็งของเธอมีความพิเศษอย่างมากเพราะเป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังแบ่งเซลล์ใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเซลล์ของเธอถูกส่งไปให้นักวิจัยศึกษาความสามารถของเซลล์มะเร็งเพื่อพัฒนามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ข่าวลือเรื่องเซลล์มะเร็งของเธอถูกกล่าวถึงอย่างมากมายในวงการนักวิจัยว่าเซลล์ของเธอเป็นอมตะจนเมื่อข่าวลือนี้เข้าถึงหูของชนชั้นนำสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนกลุ่มหนึ่งถูกเข้ามาควบคุมสถาบันวิจัยทางการแพทย์ทั้งหมดเพื่อบังคับนักวิจัยให้สร้างเซลล์อมตะมอบแก่กลุ่มชนชั้นนำกลุ่มคนเหล่านี้ต้องการครอบครองอำนาจไว้ตลอดกาลหรืออย่างน้อยๆก็20 ปี
เฮนลาเข้ารับการรักษามะเร็งไม่ได้เต็มที่เนื่องจากหมอไม่เพียงพอเธอจึงมีความคิดขึ้นมาว่า“ทำไม…” เป็นการตั้งคำถามครั้งในฐานะชนชั้นกลางของเธอจนเมื่อคำถามต่อมาเดินทางเข้ามาในหัวเธอมากขึ้นพอๆกับระยะมะเร็งของเธอก็เพิ่มขึ้นเธอเริ่มออกมาเรียกร้องสิทธิ์ที่ควรเธอได้รับผ่านแอคทวิต“@Ladybird” แต่มันยังไม่เพียงพอเธอเรียกร้องสิทธิ์ในเซลล์ของเธอจนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายการควบคุมวิจัยเซลล์ของเธอยังดำเนินต่อไปมันถูกสกัดเอาดีเอ็นนำมาเป็นข้อมูลของเธอเก็บในฐานข้อมูลร่างกายของเธอได้สูญสลายไปแต่ข้อมูลตัวตนส่วนหนึ่งของเธออยู่ในฐานข้อมูลของการวิจัยเพื่อสร้างอำนาจอมตะของคนกลุ่มหนึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกตั้งชื่อตามแอคทวิตที่เธอใช้เรียกร้องสิทธิในเซลล์มะเร็งของเธอว่า“Ladybird” เรื่องนี้อาจเป็นเพียงเรื่องสมมติที่หลายอย่างหรือแม้กระทั่งมนุษย์ถูกลดทอนเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการและครอบครองเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างมากเมื่อโลกมุ่งเข้าสู่ยุคดิจิตอลแล้วตอนนี้ข้อมูลของเรากำลังถูกใครจัดการอยู่รึเปล่า?