เรื่องเล่าหลังกระดาษข้อสอบ | Happy Family Time?
โดย “แก๊ก” ศุภร เนียมกำเนิด
“เรียนจบแล้วเธอจะทำงานอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน คงสอบเข้าราชการแหละ”
“ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการเหรอ”
“แม่อยากให้เป็นน่ะ สวัสดิการมันก็ดี
เบิกค่ารักษาพยาบาลให้คนในครอบครัวได้”
บทสนทนาระหว่างฉันกับเพื่อนคนหนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันเพื่อเข้าสู่วัยทำงาน
ฉันไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากเข้ารับราชการเลย ทุกครั้งที่คนรอบตัวพูดถึงอาชีพในสายงานราชการ มักจะมีหลายผุดขึ้นในใจฉันเสมอ ทำไมต้องเป็นข้าราชการ ทำไมต้องอยากได้สวัสดิการ ทำไมต้องทำตามความต้องการของครอบครัว ทำไมไม่ทำตามใจตัวเอง ทำไม ทำไม ทำไม
อาจเป็นเพราะฉันเกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่รับราชการกันทั้งคู่ ญาติๆก็เป็นครูกันหมด ไม่เคยมีใครบังคับให้ฉันรับราชการ ไม่เคยมีใครมาคอยบอกว่าโตไปต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ฉันจึงเชื่อมาตลอดว่าทุกคนมีอิสระมากพอที่จะสามารถเลือกอนาคตของตัวเองได้ แต่พอได้ยินเพื่อนบอกว่าจะทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น มันขัดกับความรู้สึกของฉันสุดๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ค้างคาใจฉันมาตลอดว่าเพราะอะไรเพื่อนๆของฉันถึงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่ได้
จุดเริ่มต้น
หนึ่งปีหลังเรียนจบฉันได้ออกเดินทางท่องเที่ยว กลับมาสมัครงานพาร์ทไทม์เพื่อที่จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่คิดว่าชอบ ในขณะที่เพื่อนๆได้งานประจำกันและเข้าสู่ชีวิตผู้ใหญ่กันเกือบหมดแล้ว ฉันตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Human ร้าย, Human Wrong เพื่อหาประสบการณ์ชีวิต เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง การเข้าร่วมโครงการให้ความรู้และประสบการณ์กับฉันมากมาย ฉันคิดว่าตัวเองคงผ่านมันไปได้แบบง่ายๆสบายๆ แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องนำเสนอหัวข้องาน สมองของฉันกลับว่างเปล่า ฉันคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองสนใจเรื่องอะไร ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไร
อย่างที่ใครเขาพูดกันว่าการเริ่มต้นมักจะยากเสมอ ฉันใช้เวลาทบทวนกับตัวเองอยู่นานหลายสัปดาห์ เปลี่ยนหัวข้อครั้งแล้วครั้งเล่า ถกเถียงกับพี่ๆโครงการนับครั้งไม่ถ้วน และแล้วสิ่งที่เคยคาใจฉันก็วนกลับมาตามหลอกหลอนอีกครั้ง มีคำสามคำปรากฎขึ้นในใจ ครอบครัว ข้าราชการ อำนาจนิยม
ฉันจัดแจงนัดพูดคุยกับเพื่อนๆที่เข้ารับราชการ รวมไปถึงคนในครอบครัวของฉันเองอย่างพ่อกับแม่ที่ทำงานเป็นข้าราชการมานานหลายสิบปี ฉันถามถึงเหตุผลที่พวกเขาเลือกอาชีพนี้ ข้อดี ข้อเสีย ประสบการณ์การทำงาน และคำถามทั่วๆไปเกี่ยวกับความฝันและวัยเด็ก คำตอบที่ได้ไม่ค่อยต่างกันมากนัก ส่วนมากเลือกทำงานราชการด้วยเหตุเพราะความมั่นคงในหน้าที่การงาน สวัสดิการที่ครอบคลุมไปถึงครอบครัว สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอมบุตร แต่สิ่งเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง เช่น การถูกจำกัดทางความคิด ถูกกดดันจากผู้มีอำนาจในหน่วยงาน เกิดเป็นคำถามว่าหากทุกอาชีพได้รับสวัสดิการเท่ากันหมด พวกเขาเหล่านี้จะยังอยากเป็นข้าราชการอยู่รึเปล่า
พ่อกับแม่บอกว่าพวกเขาไม่มีอาชีพในฝัน ไม่เคยรู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ไม่เคยรู้ว่าโตไปแล้วอยากเป็นอะไร ไม่เคยมีใครถาม อาชีพที่พอจะคิดได้ก็คงเป็นครู เป็นหมอ เป็นทหาร ไม่ค่อยมีตัวเลือกอะไรมากเพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียน ต้องเรียนสาขาที่มีทุนให้ จบมาแล้วมีงานทำเลย เป็นข้าราชการมีเงินเดือน เลี้ยงดูตัวเองได้ เลี้ยงดูครอบครัวได้
หลังจากได้พูดคุยกัน ฉันรู้สึกโกรธมาก โกรธระบบที่ผลักภาระให้คนคนนึงต้องแบกรับภาระทุกอย่างทั้งหาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว กระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวได้เท่าเทียมกับคนอื่นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง โกรธที่ความเยาว์วัย ความฝัน ความไร้เดียงสา ของพวกเขาถูกพรากออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งไว้เพียงเปลือกของความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมายอยู่บนบ่า ฉันต้องการเอาความโกรธแค้นนี้ใส่เข้าไปในงาน
แต่ปัญหาคือฉันจะสื่อสารมันออกมายังไง
โต๊ะกินข้าว
ฉันคิดขึ้นได้ว่าฉันไม่ชอบนั่งกินข้าวกับครอบครัวโดยเฉพาะวันรวมญาติที่มีทั้งพี่ป้าน้าอามารวมตัวกัน สำหรับฉันแล้วการกินข้าวด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนโดนจับไปนั่งในห้องสอบปากคำ ซึ่งจะต้องเผชืญหน้ากับญาติๆที่พร้อมจะยิงคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิต สารทุกข์สุขดิบในชีวิต และหากตอบผิดจะมีบทลงโทษตามมา
“เรียนเป็นยังไง”
“มีเงินพอใช้ไหม”
“จบแล้วจะทำงานอะไร”
“จะไปที่ไหน”
“จะเรียนต่อรึเปล่า”
แทนที่จะเป็นช่วงเวลาที่สุขสันต์ที่ได้ดื่มด่ำกับอาหารและครอบครัว กลับกลายเป็นชั่วโมงแห่งความอึดอัดอันแสนยาวนาน ฉันจึงเลือกที่จะเอาโต๊ะกินข้าวมาผสมกับโคมไฟแขวนเพดานซึ่งเป็นลักษณะของห้องสอบปากคำ
แต่จะให้เป็นโต๊ะกินข้าวเฉยๆมันธรรมดาไป ฉันเลยเพิ่มบรรยากาศหลอนๆด้วยการใส่โค้ดให้ไฟแขวนบนเพดานกระพริบเป็นจังหวะ ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Parasite(2019) ก็อาจจะเห็นภาพโคมไฟที่กระพริบเป็นรหัสมอสได้ ไฟของฉันถอดรหัสได้ว่า “I NEED FREEDOM” ซึ่งเป็นประโยคง่ายๆที่หลายคนก็คงอยากจะตะโกนออกมาเมื่อเราอึดอัด แต่คำพวกนี้มันไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของเราได้หมด ฉันเลยเก็บมันไว้ในรูปแบบของรหัส และใช้แสงเป็นตัวสื่ออารมณ์และความหมายแทนความรู้สึก
ข้อสอบ กพ
“ทำไมถึงไม่สอบ กพ” เป็นคำถามที่แม่ถามหลังจากที่เห็นคนอื่นแห่กันไปสมัครสอบ ฉันให้เหตุผลไปว่าฉันไม่คิดอยากจะสมัครเป็นข้าราชการอยู่แล้ว ดังนั้นการสอบ กพ จึงไม่จำเป็น ทั้งเสียเวลาและเสียเงินเปล่าๆ แม่ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
ผู้คนรอบตัวฉันสอบ กพ หลังเรียนจบกันทั้งนั้น บ้างก็สอบผ่าน บ้างที่ไม่ผ่านก็รอสอบใหม่ปีหน้า จะว่าไปแล้วช่วงสอบ กพ ก็เป็นอีกหนึ่งเทศกาลแห่งปีเลยก็ได้ ร้านหนังสือทุกแห่งต้องมีหนังสือเตรียมสอบ กพ อย่างน้อยสามเล่มบนแผงท็อปเบสเซลเลอร์
ฉันค่อยๆเปิดอ่านหนังสือเตรียมสอบทีละหน้าๆ บนกระดาษมีแบบทดสอบปรนัยหน้าตาคุ้นๆเหมือนข้อสอบเมื่อสมัยเรียนมัธยม เนื้อหาข้อสอบพูดถึงค่านิยม ขนบธรรมเนียมไทยแบบโบราณๆ ที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็สุดแสนจะน่าเบื่อ บางข้อก็ย้อนแย้งขัดกับประเทศไทยในยุคตวรรษที่ 21 ซะเหลือเกิน พลางคิดไปว่าถ้าลองแต่งข้อสอบใหม่ให้ร่วมสมัยสักหน่อยคงสนุกพิลึก
ว่าแล้วก็ลงมือแต่งข้อสอบใหม่ แต่ด้วยความที่ฉันอยากใส่บริบทการเมืองไทยในปัจจุบันไปด้วย เลยต้องลงทุนลงแรงรีเสิร์ชเยอะหน่อย โชคดีที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาช่วยกันคิดอีกแรง
ข้อสอบ กพ และ กระดาษคำตอบ
ข้อสอบ กพ ส่วนหนึ่งในผลงานศิลปะจัดแสดง Happy family time ?
วัสดุ : กระดาษ ขนาด A4, 210 x 297 mm , จำนวน 14 หน้า
ข้อสอบ กพ และ กระดาษคำตอบ
ข้อสอบ กพ ส่วนหนึ่งในผลงานศิลปะจัดแสดง
Happy family time ?
วัสดุ : กระดาษ ขนาด A4, 210 x 297 mm ,
จำนวน 14 หน้า
วีดีโอไม่มีชื่อบนทีวีอนาล็อค
ปกติเวลาฉันนั่งกินข้าวกับที่บ้านเรามักจะเปิดดูโทรทัศน์ไปด้วยเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป ฉันคิดอยู่นานว่าจะเปิดวีดีโออะไรดี สุดท้ายงานชิ้นนี้ก็ผุดขึ้นมาจากการลองทำนู่นนั่นนี่บวกกับทักษะการตัดต่อวีดีโอสมัยเรียนมหาลัย ฉันเอาภาพถ่ายนักการเมืองหลายๆคนในชุดข้าราชการมาทำคอลลาจ ตัดหน้าตาเนื้อหนังออกไปกลายเป็นคล้ายกรอบรูป เบื้องหลังเป็นมิวสิควีดีโอเพลง “จำขึ้นใจ ข้าราชการที่ดี” ซึ่งทำมาซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เสียงที่เปิดคลอในวีดีโอเป็นเทปสัมภาษณ์ของพ่อกับแม่ของฉันในช่วงที่พูดเรื่องข้อดีข้อเสียของการเป็นข้าราชการ ฉันฉายวีดีโอนี้บนทีวีอนาล็อค เพราะมันดูโบราณสมกับระบบราชการไทยที่ยังคงล้าหลังตามไม่ทันโลก
ฉันเพียงลองจินตนาการความรู้สึกของตัวเอง เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องนั่งกินข้าวกับครอบครัวหลังจากโดนกดดันให้สอบ กพ เพื่อเข้ารับราชการทั้งที่ใจฉันไม่ได้ต้องการ แต่มันก็จำเป็นกับครอบครัว ในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่โทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายข่าวนักการเมืองทั้งหลาย ผู้ซึ่งใช้ประโยชน์จากระบบราชการเอาเปรียบประชาชน หาอำนาจใส่ตัว ตักตวงผลประโยชน์ เหมือนหนอนที่กำลังชอนไชกัดกินประเทศ
ในสถานการณ์แบบนั้นฉันจะสามารถนั่งทำข้อสอบต่อไปได้รึเปล่า?