เรื่องเล่าเบื้องหลังการทำงาน | Hearsay เขาว่ากันว่า…

โดย “อัพ”ภูริชญา พันแพง

จุดประเด็น

            มันเริ่มมาจากการเดินไปร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ หอตอนกลางคืน ด้วยความที่มันใกล้มากก็เลยเดินไป แต่ว่ามันกลับมืดมากระหว่างทางมีแค่แสงที่มาจากบ้านเรือนไม่กี่หลังที่เรากับเพื่อนเดินผ่าน แล้วก็ร้านสะดวกซื้อข้างหน้า จนต้องเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์เพราะมองไม่เห็นพื้นข้างล่าง กลัวว่าจะไปสะดุดอะไรเข้า กลัวว่ารถจะสวนมาแล้วไม่เห็นเราด้วย เราเลยสงสัยว่าความมืดมันก็เสริมสร้างจินตนาการของเราได้เหมือนกัน แต่จินตนาการของแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกัน เราลองคิดดูว่าถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะกลัวโจรมาดักจี้ปล้นตอนกลางคืนก็ได้ แต่ไม่เลย จากที่ลองถามเพื่อนใกล้ตัว ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้ามืดมาก ๆ ก็คงจะกลัว “ผี” มากกว่า

| แล้วความมืดกับความกลัว(ผี) มันมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง 

แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็น แต่หลายคนก็ต่างบอกว่าเขาเล่าต่อ ๆ กันมา อย่างในซอยวัดอุโมงค์ที่กลางวันในซอยดูครึกครื้น คนสัญจรไปมาจำนวนมาก แต่ตอนกลางคืนกลับมืดมิดเป็นป่าสองข้างทาง บางจุดก็ไม่มีไฟสักดวง ก็มีเรื่องเล่า อย่างเรื่องยายสปีด ที่ทำให้นักศึกษาแถวนั้นต่างก็กลัว ไม่อยากจะออกไปขับรถตอนกลางคืนคนเดียวถ้าไม่จำเป็น เรื่องเล่านี่มันก็คงเป็นฟีลเหมือนกุศโลบายที่ให้เด็ก ๆ ไม่ออกมาข้างนอกตอนกลางคืนคนเดียว เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น 

พอมาเขียนโยงให้เห็นความสัมพันธ์ของมันแล้วก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แล้วก็ได้คีย์เวิร์ดมาว่า “ความปลอดภัยในชีวิต” ถ้าผีเท่ากับความอันตรายที่คนกลัว ความสว่างบนท้องถนนก็เท่ากับความปลอดภัย เราเลยตั้งสมมติฐานคือ ถ้าแสงสว่างน้อยก็ทำให้คนจินตนาการว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเรื่องอันตรายขึ้น ทำให้เกิดคอนเซ็ปต์งานที่ว่า “จินตนาการกับแสงสว่างที่ส่งผลต่ออุบัติเหตุซ้ำ ๆ บนท้องถนน

เริ่มสำรวจ

| งานแบบราชการ

พูดถึงอุบัติเหตุเราก็จะนึกถึงเสียงไซเรนนำมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นแหล่งข้อมูลที่เราจะพลาดไม่ได้เลยก็คงจะเป็นหน่วยกู้ภัย เราตัดสินใจโทรไปก่อนตามเบอร์ที่ติดไว้หน้าเพจของหน่วยกู้ภัยเทศบาลสุเทพ
ตู๊ดดด——
ไม่มีคนรับสาย อะ! อาจจะไม่มีคนว่าง ทักแชทเพจทิ้งไว้ก็ได้ ไม่กี่นาทีได้ข้อความตอบกลับมาว่า 
“เดี๋ยวสอบถามทาง เทศบาลให้นะคะ” 
ผ่านไปสามวัน ไม่มีอะไรคืบหน้า พี่บัว ผู้รับผิดชอบโครงการฮิวแมนร้าย ก็บอกว่า “ไม่ได้การละ บุกเลยครับวัยรุ่น” เราตัดสินใจไปในที่ทำการเทศบาลตำบลสุเทพเลยเพื่อที่อยากจะรู้ข้อมูลอุบัติเหตุในพื้นที่ละแวกนี้ เมื่อเข้าไปติดต่อเราก็ถูกโยนให้ไปถามฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ กว่าจะถึงฝ่ายที่อยากถาม เหมือนเล่นเกมสตาร์ดิวยังไงก็ไม่รู้ 

แต่ระหว่างทางเราก็ได้รู้ว่าการเกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่งมันก็ไม่ได้มีแค่กู้ภัยดูแล ถ้าอย่างสถานที่เกิดเหตุต่างกัน ความเสียหายเกิดขึ้นคนละที่ก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบแตกต่างกันแล้ว เช่นเดียวกับกรณีการซ่อมแซมสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า สมมติว่าไฟกิ่งในหมู่บ้านเสีย ส่วนนี้เทศบาลเป็นคนดูแลสามารถรับเรื่องไว้ได้ แต่ถ้าไฟทางเส้นหลักเสีย อันนี้เราต้องไปแจ้งกรมทางหลวงแล้ว ถึงแม้ว่าไฟมันจะเสียตรงหน้าที่ทำการเทศบาลก็ตาม

            ถึงด่านหน่วยกู้ภัย ได้พูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ 1669 หลัก ๆ พี่เขาจะดูแลเคสใน 15 หมู่บ้านในตำบล เขาก็ได้บอกไว้ว่าสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุเยอะก็จะเป็นทางตรงอย่างถนนหลังมอและคันคลอง แต่ตรงนี้ไม่ได้เป็นเขตรับผิดชอบหลัก หน่วยของพี่เขาก็จะไปเมื่อถูกเรียกไปเป็นหน่วยเสริม หากจะขอข้อมูลสถิติทางนี้ก็จะมีแค่รายงานการแยกสีตามระดับความรุนแรง ซึ่งจะเป็นแบ่งสีตามความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพื่อนำส่งโรงพยาบาลต่อไป แน่นอนว่าถ้าอยากเห็นก็ต้องทำหนังสือขอเรียนต่อนายกเทศมนตรี ซึ่งเราไม่ได้ขอมาเพราะคิดว่ากว่าจะยื่นหนังสือ รับเรื่อง ติดต่อกลับได้ เราอาจจะปิดโครงการฮิวแมนร้ายกันแล้วก็ได้ 
(อ้อ แล้วหลังจากไปที่นี่ได้สัปดาห์นิด ๆ เพจกู้ภัยที่เคยทักไปก็เพิ่งส่งข้อความตอบกลับมาใหม่ว่า “รบกวนน้องติดต่อทางเทศบาลเลยครับ” – ไปมาแล้วค่าา)

| ท่องราตรีสำรวจหลังมอ-คันคลอง 1st time

เราตัดสินใจใช้พื้นที่หลังมอและถนนคันคลองเป็นพื้นที่ศึกษาเพราะพี่เจ้าหน้าที่ที่เทศบาลหลายหน่วยได้บอกว่าแถวนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เราชวนเพื่อนไปขับรถเล่นแล้วสังเกตสิ่งรอบข้างถนนมาว่าอะไรน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ้าง เราเลือกที่จะใช้ตอนกลางคืนเพราะสนใจเรื่องแสงสว่างบนท้องถนนตั้งแต่แรก อีกอย่างนึงรถน้อยด้วย ;-;

ระหว่างทางคันคลองก็ได้พบกับไฟทางที่ไม่มีไฟ ไม่รู้ว่าเขาปิดไว้หรือมันเสีย แต่มันทำให้ถนนบริเวณนั้นมืดจนเกือบมองไม่เห็นทาง อีกทั้งยังเจอที่กลับรถที่ยังอยู่ตรงทางโค้งพอดี ให้ยายว่าไง เรียกว่าเสี่ยงต่ออุบัติเหตุแบบ 200% ไปเลย

            ไปต่อกันในซอยวัดอุโมงค์เราเจอสิ่งน่าสนใจ ก็คือเทปเรืองแสง เราเห็นเทปพวกนี้ติดอยู่ตามเสา กำแพงบ้าน ซึ่งมันจุดร่วมเดียวกันคืออยู่ตรงทางโค้ง เดาไม่ยากเลยว่าเป็นคนของชาวบ้านที่นำมาติดไว้ ซึ่งมันก็ใช้เป็นสัญญาณให้ระมัดระวังได้อย่างดีเลย 

    

อีกโค้งน่าจะเป็นโค้งที่คุ้นตาเด็กหลังมอเป็นอย่างดี ซึ่งดูแล้วต้องไม่ใช่กรวยจราจรจากหน่วยงานราชการใดแน่ ๆ ต้องเป็นการ D.I.Y ของชาวบ้านเช่นเดียวกับเทปเรืองแสงแน่ ๆ  

ในขณะเดียวกัน การวางท่อน้ำประปาใหม่ที่ซอยหน้าวัดอุโมงค์ ยังไม่เสร็จดี แต่เปิดให้สัญจรไปมาแบบแกล้ง ๆ มีเหล็กเส้นยื่นออกมาจากท่อ แต่มืดสนิท ไม่มีไฟสัญญาณเดือน มีเพียงกรวยแดงเปล่า ๆ และไม้มัดถุงพลาสติก เสียบเอาไว้ให้คนที่ผ่านพอจะสะดุดตาขึ้นมานิดนึง ทั้งที่การวางท่อนี้อยู่ในความดูแลของเทศบาล แต่กรวยกลับถุงพลาสติกนี้อยู่ยากจะเชื่อว่าเป็นการทำสัญลักษณ์เตือนภัยจากหน่วยงานรัฐ

            จากการลงพื้นที่รอบนี้ประกอบกับการพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ครั้งที่แล้ว เราเลยลองลิสต์มาว่า การเกิดปัญหา 1 ครั้งเนี่ย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเค้ามีการดำเนินการอย่างไร แล้วทำไมประชาชนถึงเลือกที่จะทำ D.I.Y กันเอง แทนที่จะแจ้งหน่วยงานใด ๆ มาซ่อมแซม ช่วยเหลือ 

เสริมหัวข้อของเราให้ชัดขึ้นว่า จินตนาการผ่านเรื่องเล่าที่ชาวบ้านสร้างขึ้นมากันเองก็เหมือนกับพวกเทปเรืองแสงใด ๆ ที่พวกเขานำมาติดแจ้งเตือนกันเองผ่านทางโค้ง การดำเนินการที่ล่าช้าของระบบราชการทำให้พวกเค้าต้องอยู่กันอย่างตามมีตามเกิด เพราะถึงแจ้งปัญหาไปก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ไม่แปลกเลยที่จะมีคำกล่าวที่ว่า ประชาชนต้องดูแลกันเอง ผ่านหูอยู่เสมอ 

| ขับรถเล่น (แบบจริงจัง) ครั้งที่ 2 พร้อมหา Material 

แล้วเราจะเล่าผ่านชิ้นงานของเราได้ยังไง? – ตอนนั้นเรายังคิดฟอร์มงานไม่ออก พี่บัว พี่หยอด (ที่ปรึกษาโครงการ) แนะนำให้ลองเก็บสิ่งที่เจอระหว่างสำรวจ (ที่สามารถเก็บกลับบ้านได้) มาก่อน ชิ้นส่วนรถที่คนทำตกไว้ เก็บมาสะสม เล็กๆน้อยๆ แล้วค่อยคิดต่อว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง 

รอบนี้ก็เลยมาอีกรอบ ไม่ได้มาคนเดียว เรามากับ พี่กลอย เจ้าของผลงาน ‘กลัวไม่เปลี่ยน’ จาก โครงการ Human ร้าย, Human Wrong 4 เช่นเดียวกับเรา พี่กลอยขอมาเป็นเพื่อนเรา และเก็บฟุตเทจไว้ไปใส่งานพี่ เพราะตรงคอนเซ็ปต์การก้าวข้ามความกลัวของงานพี่กลอยพอดี (ใช่ เพราะหนูก็กลัวผีเหมือนกัน จะเก็บอะไรของใครก็ไม่รู้กลับบ้านมันก็น่ากลัวอยู่นะ ;—-;)

รอบที่แล้วเราสังเกตถนนหนทาง แสงไฟส่องสว่างรอบข้าง แต่รอบนี้เราสนใจชิ้นส่วนรถข้างทาง เราเลยต้องขับช้า ๆ ไปสะดุดตากับหมวกกันน็อคข้างทาง เออ ใครทำตกไว้ 
“พี่กลอย เราเก็บเลยมะ”
“เอาเลย อย่าไปกลัว” 

ตัดสินใจอยู่สักพักจึงเดินลงไปเก็บมา ข้างในเศษดินหินหญ้าเต็มไปหมด เจ้าของเค้าไม่เอาแล้วแหละ หนูขอนะ

อยู่ข้างทางที่เก็บหมวกกันน็อคได้สักพักแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวใครมาเห็นจะงงว่า อิน้อยหมู่นี้มายะอะหยังกั๋น (แปล: เด็กพวกนี้มาทำอะไรกัน) ขับมาถึงสะพานตรงหน้าวัดใหม่ห้วยทราย มันแบบขนลุกวาบเพราะตรงนี้เขาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาเพราะเป็นทางโค้งแต่มีสะพานกลับรถ (งงมั้ย งงนะ) รถจะชนก็ไม่แปลกนะ แต่วันที่ไปเค้าทุบสะพานทิ้ง มีแค่แบริเออร์กั้นไว้กับไฟสัญญาณบอกว่าให้ใช้ทางเลนเดียว

ปูมาขนาดนี้แล้ว ที่ตรงนี้ก็ต้องเคยมีอุบัติเหตุแน่นอน คิดไม่ผิด เพราะพอลงรถไปก็เจอกับเศษกระจกหรือไฟหน้ารถอะไรสักอย่างอยู่บนพื้น พร้อมกับคราบน้ำมัน ที่แวบแรกดูคล้ายรอยเลือด ทำเอาเราหลอนอยู่เหมือนกัน 

ที่ต่อมาหน้าศูนย์วิจัยฯ แม่เหียะ ตรงนี้ก็เยอะไม่แพ้กัน ทั้งเศษพลาสติกหน้ารถ เศษที่ครอบไฟรถ เราจอดรถแล้วเดินไปตรงที่กลับรถกับพี่กลอย ตรงนี้มีทั้งชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กสลับกันไป ใช้เวลาสักพักเก็บมันใส่ถุงซิปล็อค พอกำลังจะกลับ กำลังจะนั่งบนมอไซค์เลย มีลุงที่ไหนไม่รู้จอดรถขนาบข้าง วินาทีแรกเรานึกว่าผีก่อนเลย (ขอโทษค่ะลุงหนูขี้กลัว ;-;) เราคุยกันสักพักได้ความว่า ลุงเป็นรุ่นพี่มช.(ที่เป็นรุ่นพ่อแล้ว) พี่พวกเรานี่แหละ ลุงคนแถวนี้ พูดชื่อลุงใครก็รู้จักหมดแหละ ลุงให้ชื่อ เบอร์โทรมาเลย แถมยังรับปากว่ามีเรื่องอะไรเนี่ยบอกลุงได้ ลุงช่วยได้หมดเลย แถวนี้ถิ่นลุง เออ เริ่ดเนาะ คุยต่อไปเรื่อย ๆ ลุงก็บอกว่าลุงเป็นแคนดิเดตลงสมัครเลือกตั้ง สท. ในเขตนี้ แล้วก็ล้วงกระเป๋าเป้หน้ารถ ลุงล้วงอยู่นานหาของไม่เจอสักที เรากับพี่กลอยเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยละ กลัวข้างในเป็นปืน เราจับแฮนด์รถ สะกิดพี่กลอย พร้อมแง้นหายไปกับสายลม จังหวะเดียวกับลุงหยิบของในกระเป๋าออกมา มันคือออ คืออออ คือออ บัตรหาเสียง – “ฝากบอกเพื่อน ๆ ให้เลือกลุงด้วยน้า” (โห ลุงหาเสียงดึกดื่นงี้เลยหรอ ใจหายใจคว่ำ) ช่วงหาเสียงอะเนาะ 

            เรากลับหอพร้อมกับเจ้าชิ้นส่วนรถที่เก็บมา คืนแรกค่อนข้างกลัวว่าจะมีอะไรตามมา แน่นอนว่าชีวิตดิฉันไม่ธรรมดาอีกแล้ว นั่งอยู่ดี ๆ ถุงขยะในห้องก็ขยับเองได้ เหมือนมีกับมีนิ้วเล็ก ๆ กำลังทำให้ถุงขยับ อ๋อ จิ้งจก แหะ ๆ เลิกกลัวเลย ไม่มีไรหรอก แล้วเราก็อยู่กับชิ้นส่วนพวกนั้นมาอีกหลายคืน 

เริ่มทำงาน

| Mock-up

พอได้ชิ้นส่วนมาเราก็หาวิธีที่จะเชื่อมประสานให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเริ่มจากอะไรที่ปั้นแล้วขึ้นรูปง่าย ๆ ดินญี่ปุ่น แห้งแล้วแข็งตัวเองได้ด้วย อะลองดู เราลองปั้นขนาดเท่าฝ่ามือ โดยเอาลวดดัดเป็นรูปก่อนแล้วเอาดินญี่ปุ่นปั้นตามโครงลวด ไม่เวิร์กว่ะ เหมือนตัวอะไรก็ไม่รู้ 55555555555555 

ลองเปลี่ยนวัสดุมั้ย เราปรึกษาพี่บัว พี่ให้คำแนะนำมาว่า “ลองเป็นโฟมมั้ยครับวัยรุ่น” เอาโฟมไปให้ความร้อนน่าจะขึ้นรูปได้ อัพจัดการเผาเลย อ่าวโฟมไหม้ ไม่เวิร์ก วิธีสุดท้ายแล้ว อัดปืนกาวเลยละกัน – ใช้กาวเยอะไปมั้ยนะ ลองไปให้พี่บัวดูก่อนละกัน 

บีบปืนกาวปวดแขนตายเลยน้องอัพ พี่ว่าเราต้องหาชิ้นส่วนรถเพิ่มแล้วแหละ –
พี่บัวแนะนำให้หาชิ้นส่วนรถเพิ่ม ในตอนแรกค่อนข้างคิดหนักเพราะตามถนนมีชิ้นส่วนค่อนข้างน้อย เมื่อมันอุบัติเหตุเขาก็เคลียร์พื้นที่ออกไปหมดแล้ว แล้วของพวกนี้มันจะไปอยู่ไหนได้ล่ะ…
อู่ซ่อมรถไง
พี่บัวแนะนำอู่ซ่อมรถที่มีกองซากรถเต็มไปหมด พี่ไม่รู้จักชื่ออู่ แต่ส่งลเคชั่นที่ใกล้เคียงมาให้ เราลองเซอร์เวย์ก่อนผ่าน Google Map เจออู่สุพจน์การช่าง พร้อมกับภาพกองซากรถที่เป็นภูเขา นี่แหละ พรหมลิขิต รีบโทรหาลุงอย่างไม่รีรอ ตอนแรกลุงดูตกใจว่าจะเอาซากรถไปทำอะไร แต่พออธิบายว่าเอาทำงานเพื่อการศึกษาลุงก็ต้อนรับอย่างดี ให้ไปเลือกช็อปได้ตามสบายเลย 

แต่ระหว่างการทำงานก็ต้องเพิ่ม Material เรื่อย ๆ ไปขอคุณลุงบ่อย ๆ ก็เกรงใจเพราะลุงให้ฟรีไม่คิดเงิน เพื่อนที่บ้านทำอู่รถเห็นว่าเราทำงานนี้อยู่ ก็เลยยกชิ้นส่วนรถที่ไม่ใช้แล้วมาให้จากบ้านด้วย งานนี้ต้องเขียนกิตติกรรมประกาศให้อู่สุพจน์การช่างและอู่ช่างนวลด้วยนะคะ

| ทำหุ่นตัวจริง

ได้ชิ้นส่วนมามากแล้วก็เริ่มประกอบรูปร่างให้เป็นหุ่นจริง ต้องก่อนบอกเลยว่างานนี้เป็นอะไรที่ free form มาก ๆ สิ่งที่ได้มาก็เอามาคิดอีกทีว่าส่วนไหนจะเป็นส่วนหัว ลำตัว แขน ขา อุปกรณ์เชื่อมประสานตอนแรกก็มีแค่ปืนกาว แต่มันอยู่ได้ไม่นาน เริ่มมีลวดมัด คีมตัด สว่านเจาะ เหมือนเรากำลังสร้างอู่รถเล็ก ๆ ในร้านหนังสือยังไงก็ไม่รู้ แต่ความยากคงไม่ได้อยู่ที่การใช้อุปกรณ์แต่เป็นการทำยังไงให้มันประกอบร่างกันและเล่าเรื่องได้

| ออกกองถ่ายรูป 

ครั้งที่ 1 with หญิง, ฝน, พี่อ๋อง 

หลังจากเจอเหตุการณ์คุณลุงแคนดิเดตสท.ทัก เราคิดว่าเราไม่ควรไปคนเดียวสองคน หรือแค่กรุ๊ปผู้หญิงแล้ว มีผู้ใหญ่ไปด้วยสักคนดีกว่า รอบนี้มีลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อน ๆ เรามาด้วย ทำให้อุ่นใจและอยู่แบบไม่กลัว เลยถ่ายได้นานในระดับหนึ่ง แต่ ถ่ายนานไม่ได้แปลว่าถ่ายดี 555555555555 แม้ว่าเราจะเก็ทเอวิชาถ่ายรูปมา แต่ปฏิบัติ 0 มาก รูปที่ได้มาดูสะเปะสะปะ สื่อสารยังไม่ค่อยได้ 

ครั้งที่ 2 with ชาว Human ร้าย กะกลางคืน 

ครั้งนี้เร่งด่วนมากจริง ๆ เพราะอีกไม่กี่วันต้องติดตั้งงานแล้ว ทำให้ต้องรบกวน ๆ พี่ ๆ ในโครงการช่วยมาเป็นทีมงานออกกองถ่ายรูป ปัญหาจากครั้งที่ 1 ก็คือยังไม่มีภาพในหัวก่อนไปถ่ายรูป ครั้งนี้พี่หยอดแนะนำหาเรฟมาเลย ให้น้องหุ่นเราข้ามถนนมั้ย ฟีล the beatles แต่เจอหน้างานรถวิ่งค่อนข้างเร็ว จึงทำให้ใช้ถนนได้แค่ที่เค้าปิดไว้เลนเดียว เดินข้ามถนนเท่ ๆ ไม่ได้ ไม่เป็นไร อยู่เรียงกันเป็นนายแบบก็ได้ ได้พี่แก๊ก พี่ป๊อบ พี่ดรีม พี่สมา มาช่วยอุ้มน้อง พี่หยอดมาช่วยดูองค์ประกอบ คอนเทนท์ในภาพ พี่บัวมาช่วยกดชัตเตอร์ให้ได้ภาพที่สวยงาม 

| ติดตั้งงาน

มีเวลาติดตั้งงานอยู่ 3 วัน เราเลือกไว้วันสุดท้าย เพราะสองวันแรกติดงาน และคิดว่า (น่าจะ) ใช้เวลาไม่นานเทคนิคพิเศษไม่ได้มีอะไรมาก แค่จัดวางกับติดรูป ชะล่าใจเพราะไปไม่ได้ด้วย แล้วก็คิดว่าคงทัน แต่พอวันติดตั้งงานที่เราจองไว้ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แท่นวางที่จับจองไว้ ถูกโยกย้ายไปที่อื่น ซึ่งเราไม่สามารถใช้ได้ ทำให้ต้องหาแท่นวางใหม่ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีหุ่นที่วางบนพื้นเลย แต่จำเป็นต้องเลือกบางส่วนขึ้นแท่นที่เหลืออยู่ และบางส่วนวางอยู่บนพื้น แต่ไม่เป็นไร ก็ยังดูดีไม่มีอันไหนที่จม น่าจะดีกว่าแท่นใหญ่ที่จองไว้ด้วย แต่แกงหม้อใหม่ก็ตามเข้ามาเพราะบานพับที่สามารถติดรูปที่เราสั่งทำขนาด A0 มาก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นกัน ทำให้ต้องใช้อันที่เหลืออยู่ ซึ่งไม่สามารถติดรูปขนาด A0 ได้ มีสองวิธีคือตัดโปสเตอร์ให้ติดได้ กับสั่งทำใหม่ เราเลือกอย่างหลัง ด้วยเวลาอีกไม่ถึง 2 ชั่วโมงที่เหลือแกลอรี่จะปิด แต่มันทัน! ร้าน Pigment Monday เนรมิตเสกงานให้เราอย่างรวดเร็ว และติดตั้งทันเวลา สาธุ สาธุ บูชา ชาบู


ผลงานศิลปะของ
สมาชิก Human ร้าย
ปีที่ 4

สรุปผลงานทั้ง 15 ชิ้น จากสมาชิกในโครงการ Human ร้าย ปีที่4 จัดแสดงที่ Maiiam maiiam contemporary art museum เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน – 18 กรกฎาคม 2021

Pages: 1 2