Category: Book Re:commendation

[Book Re:commendation] ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์กับชะตากรรมของชาติ: อาการตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคม

… งานวิชาการด้านฟิลิปปินส์ศึกษาในโลกวิชาการภาษาไทยที่ผ่านมา โดยเฉพาะการศึกษาประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่มักเดินตามตำราประวัติศาสตร์กระแสหลักของฟิลิปปินส์ บ้างก็ละเลยข้อถกเถียงในวงประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ กระทั่งไม่สนใจที่จะหยิบของงานประวัติศาสตร์แนววิพากษ์ของนักประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้ายมาพิจารณาว่างานเหล่านั้นกำลังนำเสนอข้อถกเถียงหรือคำอธิบายประการใด บางคนอาจไม่ทันได้ตระหนักด้วยซ้ำว่างานต่างๆ ที่ตัวเองหยิบมาใช้นั้นดำเนินอยู่ในแนวทางอันแตกต่างชนิดอยู่ร่วมโลกกันได้ยากและกำลังห้ำหั่นกันอยู่ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์กับชะตากรรมของชาติ: อาการตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคม” เป็นหนังสือที่ไม่เพียงแต่จะเผยให้เห็นข้อถกเถียงของเหล่านักประวัติศาสตร์ฟิลีปีโนที่พยายามก้าวให้พ้นจากประวัติศาสตร์แบบเส้นตรงและสถาปนาความทรงจำร่วมของชาติขึ้นมาใหม่เท่านั้น หากแต่ยังเผยให้เห็นถึงการขับเคี่ยวต่อสู้กันในวิถีการครอบงำและการผลิตสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ชาติให้กับพลเมืองฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้าใจต่อการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติ อย่างน้อยก็ต่อชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้….. ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์กับชะตากรรมของชาติ: อาการตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคมโดย สิริฉัตร รักการสำนักพิมพ์ Illuminations Editions

[Book Re:commendation] เมือง กิน คน: แถลงการณ์ว่าด้วยเรื่องของนคราภิวัฒน์ การพัฒนาเมือง และสุขภาวะเมืองของไทย

ความเป็นเมืองไม่ใช่เพียงเป็นพื้นที่ หากแต่อยู่ที่วิถีชีวิตผู้คน ในความหมายนี้ ท่ามกลางชนบทก็ยังมีเมือง จึงกล่าวได้ว่า เวลานี้เราอยู่ในยุคสมัยของความเป็นเมืองแล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เมืองคือความสะดวกสบาย ความเจริญ การมีบริการที่ก้าวหน้า เหนือสิ่งอื่นใด เมืองคือโอกาสทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ และการมีงานทำ และยังเป็นศูนย์รวมของภูมิปัญญาและพลังที่สร้างสรรค์จนมีการกล่าวว่าเมืองคือการสืบทอดวัฒนธรรม แต่ดูเหมือนเรากลับมีความเข้าใจและความใส่ใจต่อเมืองไม่มาก เมืองมักถูกพัฒนาตามยถากรรม การพัฒนาเมืองตามไม่ทันกับสภาพสังคมและกระแสการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงนำมาซึ่งความขัดแย้งของเมืองในหลายด้านหลากมิติ…. “เมือง กิน คน” เล่มนี้ ถูกประกอบขึ้นจากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาวะของคนในเมือง สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยาของเมือง

[Book Re:commendation] บันทึกในกลักไม้ขีด

“แบร์ลุสโกนีเกลียดผู้พิพากษาทุกคนและขอให้เราเกลียดตามเขาอีกทั้งยังให้เกลียดคอมมิวนิสต์ทุกคนด้วยแม้ว่าจะต้องมองเห็นคอมมิวนิสต์ในที่ซึ่งไม่มีคอมมิวนิสต์อยู่แล้วก็ตาม” ——————-จากเรื่อง ว่าด้วยความเกลียดและความรัก “ผมเคยเล่าหลายที่แล้วว่าหลังจากเที่ยวชมมหาวิหารในฝรั่งเศสและถ่ายรูปเหมือนคนบ้าในปี 1960ผมเลิกถ่ายรูปได้อย่างไรครั้งนั้นพอเที่ยวเสร็จกลับมาผมพบว่าตัวเองมีภาพถ่ายแสนธรรมดาเป็นชุดๆแต่จำไม่ได้เลยว่าเห็นอะไรมาบ้าง” ——————-จากเรื่อง เค้กสตรอว์เบอร์รีครีมสด “เมื่อก่อนด้านในของกลักไม้ขีดไฟยี่ห้อ Minerva เป็นพื้นที่ว่างทั้งส่วนบนและล่าง เราจะจดอะไรลงไปในนั้นก็ได้ ผมจึงตั้งใจให้บทความเหล่านี้เป็นบันทึกเกร็ดสารพันเรื่องตามแต่ผมจะนึก ทุกเรื่อง (หรือเกือบทุกเรื่อง) ที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นการพิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ใน ‘สังคมไหล’ (Liquid Society) ด้วยความผิดของกาลเวลามากกว่าของผม เนื้อหาจึงไม่ปะติดปะต่อกันเหมือนที่คนฝรั่งเศสพูดว่า มีตั้งแต่เรื่องไก่ยันเรื่องลา” “บันทึกในกลักไม้ขีด” รวมบทความเล่มสุดท้ายของ อุมแบร์โต เอโคเขียนระหว่างปี 2000-2015

[Book Re:commendation] “ผัวเดียว เมีย…เดียว: อาณานิคมครอบครัวในสยาม”

“ถ้าให้มีเมียเดียว ประเทศของเรายังไม่พร้อม จักทำให้คนเดือดร้อน….” —- ข้อความบางส่วนจากพระราชดำรัส สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ณ ที่ประชุมเสนาบดีสภาเมื่อคราวลงมติเรื่องกฎหมายครอบครัว.. ช่วงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชนชั้นปกครองสยามมองว่า “ผัวเดียวเมียเดียว” คือ “ของนอก” ที่จะก่อปัญหานานัปการ จึงรักษาจารีต “ผัวเดียวหลายเมีย” ไว้ท่ามกลางแรงกดดันจากตะวันตกและความเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยที่ผลักดันให้ผู้คนออกมาวิจารณ์ปัญหาเพศสภาพ เพศวิถี และความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงในที่สุด ก่อนที่ “ผัวเดียวเมียเดียว” จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับกันในปัจจุบัน…….“ผัวเดียว เมีย…เดียว: อาณานิคมครอบครัวในสยาม”

[Book Re:commendation]เบสเมนต์ มูน

3 ตุลาคม ค.ศ. 2016, นักเขียนไทยวัยกลางคนชื่อปราบดา หยุ่น ได้รับข้อความประหลาดผ่านโทรศัพท์มือถือบงการให้เขาเดินทางไปยังตึกร้างในย่านเก่าของกรุงเทพฯ แม้ไม่เข้าใจอะไรนัก, และมีความเป็นไปได้ที่จะเสียสติเพราะความหดหู่ของบรรยากาศสังคม, เขายอมทำตามคำสั่งลึกลับนั้น. การสื่อสารปริศนาเกลี้ยกล่อมให้ปราบดาคิดว่ากการกระทำของเขาจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น. เรื่องเล่าที่ปราบดาได้ฟังในห้องของตึกร้างซับซ้อนพิสดารกว่าที่เขาจะสามารถจินตนาการเอง. มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต, ความรุนแรงและความสูญเสียระดับชาติที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า, ไกลไปถึงความเป็นไปของสังคมไทยและโลกในปี ค.ศ. 2069, ยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไกลถึงขั้นสร้าง “จิตสำนึกประดิษฐ์” ได้สำเร็จ. จิตสำนึกประดิษฐ์ส่วนหนึ่งตกเป็นเครื่องมือขององค์กรลับชื่อ “โววา” ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อรับใช้กลุ่มประเทศอำนาจนิยม, ทางการไทยก็ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้ค้นหาและกำจัดขบวนการใต้ดินที่กำลังเริ่มแพร่เชื้อกระด้างกระเดื่องด้วยข้อมูลทางศิลปวัฒนธรรม, พยายามรื้อฟื้นความทรงจำหมู่ในประวัติศาสตร์ที่ทางการได้ลบล้างไปเป็นเวลานาน.

[Book Re:commendation] นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง

“เมื่อพิจารณาถึงความผันแปรของบทบัญญัติในหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ รวมไปถึงข้อถกเถียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการประชุมก็ไม่อาจปฏิเสธถึงความเป็น “การเมือง” ในบทบัญญัติเหล่านี้ได้ หรือแม้กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าพลังอำนาจของอุดมการณ์หรือแนวคิดทางการเมืองแห่งยุคสมัยมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหลักวิชาในการจัดวางสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญของไทย”———————————–สมชาย ปรีชาศิลปกุล “นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง: ข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่พ.ศ. 2475-2550” เล่มนี้ ไม่เพียงแต่เข้าไป “อ่าน” รายงานการประชุมสภา/กรรมาธิการ เพื่อให้เห็นการอภิปรายและไม่อภิปรายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ตลอดเวลา 75 ปี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่การปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 มาจนถึงปัจจุบัน….———————————–สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง:

[Book Re:commendation] เดอะ ไทม์ แมชชีน

” …..ความเข้มแข็งคือผลลัพธ์ของความอ่อนแอ ความมั่นคงปลอดภัยก็คือการให้ค่าความสำคัญกับความอ่อนแอ…..”—————บางส่วนจาก เดอะ ไทม์ แมชชีน (The Time Machine) “เดอะ ไทม์ แมชชีน : The Time Machine” ผลงานชิ้นเยี่ยมของ “H.G.Wells” ว่าด้วยเรื่องราวการเดินทางด้วยเครื่องท่องเวลาของตัวเอกไร้ชื่อ ผ่านเรื่องราวที่ชวนระทึกหลายต่อหลายครั้ง จวนเจียนจะเอาตัวไม่รอด พร้อมด้วยประสบการณ์และความรับรู้ที่แปลกใหม่มากมายซึ่งโลกปัจจุบันไม่สามารถเข้าถึงได้ แล้วกลับออกมาเล่าให้เพื่อนฟัง ก่อนที่จะหายตัวไปอีกครั้ง เป็นสูตรสำเร็จที่มีนักเขียนรุ่นต่อมาลอกเลียนหรือประยุกต์กันอย่างแพร่หลาย……..

[Book Re:commendation] ออร์แลนโด: ชีวประวัติ

“เธอไม่มีความยากลำบากใดๆ ในการรักษาบทบาทต่างๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงเพศของเธอนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากเกินกว่าที่ผู้เคยสวมเสื้อผ้าเพียงแบบเดียวจะเข้าใจได้ และไม่มีข้อกังขาใดๆ ด้วยว่าเธอได้เก็บเกี่ยวประโยชน์จากวิธีการนี้เป็นสองเท่า ความสำราญของชีวิตเพื่อขึ้นและประสบการณ์ยิ่งทวีคูณเธอแลกความเย้ายวนของกระโปรงกับความตรงไปตรงมาของกางเกงขี่ม้าและรื่นรมย์กับความรักของทั้งสองเพศอย่างเท่าเทียมกัน….” ออร์แลนโดฯ คือ “ชีวประวัติ” เทียมอันแสนสนุกของบุคคลผู้กลายสภาพไปตามยุคสมัยแห่งประวัติศาสตร์ เป็นอมตะและไม่แก่ชรา ผู้ซึ่งเปลี่ยนเพศและอัตลักษณ์ได้ตามใจต้องการ จากชาย…กลายเป็นหญิง ออร์แลนโดเริ่มต้นชีวิตในฐานะขุนนางหนุ่มนักประพันธ์รูปงามในราชสำนักของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งผู้ซึ่งอยู่ในวัยชรา ก่อนที่ในเช้าวันหนึ่งเขาจะตื่นมาพบว่า ตัวเองได้กระโจนข้ามห้วงเวลากว่านับศตวรรษไปสู่ศตวรรษที่ 18 และนอกจากนั้น เขายังกลายเป็นผู้หญิงด้วย……. ออร์แลนโด: ชีวประวัติโดย เวอร์จิเนีย วูล์ฟสำนักพิมพ์ Library House

Book Re:commendation] เรื่องฝัน (นิยายภาพและนวนิยายฉบับเต็ม)

ฟริโดลิน นายแพทย์ใหญ่รวยเสน่ห์ มีชีวิตเพียบพร้อม ทั้งภรรยาผู้เลอโฉม ลูกเล็กน่ารัก และหน้าที่การงานมั่นคงแต่ในคืนแห่งอารมณ์แปรปรวนร้อนรุ่ม เขาต้องผจญภัยไปในด้านมืดของตัวเอง ด้วยความคุกรุ่นจากความหึงหวง ความหยิ่งผยอง ความอยากรู้อยากเห็น แรงปรารถนาราคะ และความบ้าบิ่นไร้สติ ฟริโดลินพาตัวเองไปร่วมงานปาร์ตี้สวมหน้ากากชวนตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่นานเขาก็พบว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นที่คิด เขาอาจเป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตหญิงสาวนางหนึ่งตกอยู่ในอันตราย การกระทำมากมายของเขาในคืนนั้นสะท้อนความอัปลักษณ์ในจิตใจออกมาอย่างเปิดเปลือย รวมทั้งในความรู้สึกที่เขามีต่ออัลแบร์ทีเน่ภรรยาที่เขาทั้งรักและแค้นอย่างลึกซึ้งพอๆ กัน… “เรื่องฝัน” เป็นนวนิยายขนาดสั้นของนักเขียนชาวออสเตรีย อาทัวร์ ชนิตซ์เลอร์ ผู้ได้ชื่อว่าบุกเบิกวรรณกรรมตะวันตกสมัยใหม่ โดยเฉพาะในแง่การเจาะลึกถึงภาวะทางจิตของตัวละครได้อย่างละเอียดและสะท้อนความซับซ้อนของมุนษย์ได้หมดจดจนน่าสะพรึง เรื่องฝัน เป็นผลงานชั้นเอกของชนิตซ์เลอร์ และเป็นที่ชื่นชมของนักอ่านทั่วโลก

[Book Re:commendation]ฟ้าบ่กั้น

“ลาว คำหอม” เคยกล่าวไว้อย่างเจียมตนเกี่ยวกับหนังสือรวมเรื่องสั้น ฟ้าบ่กั้น ของเขาไว้ในคำนำผู้เขียนฉบับภาษาสวีดิชว่า “ถ้าจะได้มีการพยายามจะจัดเข้าในหมวดหมู่วรรณกรรม หนังสือเล็กๆ เล่มนี้ก็คงจะมีฐานะเป็นได้เพียง ‘วรรณกรรมแห่งฤดูกาล’ ฤดูแห่งความยากไร้และคับแค้น ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ยาวนานมากของประเทศไทย” — ดูเหมือนว่าฤดูกาลที่ลาว คำหอม พูดไว้จะยาวนานเป็นพิเศษ เพราะจนวันนี้แม้จะล่วงเลยมากว่า 5 ทศวรรษนับแต่พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2501 แต่เรื่องราวใน ฟ้าบ่กั้น ยังดูเสมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หรืออันที่จริงควรกล่าวว่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้กำลังดำเนินอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ชื่อเสียงหน้าตาตัวละครอาจจะเปลี่ยนไป สถานที่และเหตุการณ์อาจจะแปลกตาไปจากเดิม